Showing 3812 results

Archival description
Print preview View:

2724 results with digital objects Show results with digital objects

นิทรรศการถาวร ชุด เรียงความประเทศไทย

กรอบแนวคิดของการจัดนิทรรศการภายใน นิทรรศการผ่านการเล่าเรื่อง (Story telling) นับแต่อดีตถึง
ปัจจุบันของผู้คนและดินแดนในอุษาคเนย์และในประเทศไทย
เพื่อ

  1. สร้างสำนึกเข้าใจผู้คน บ้านเมือง และท้องถิ่นของตน และ
    เชื่อมโยงความสัมพันธ์ลักษณะเครือญาติกับประเทศเพื่อนบ้าน
    ก่อให้เกิดความสมานฉันท์ และสันติภาพในภูมิภาค.
    จากสุวรรณภูมิ ถึงสยามประเทศ สู่ประเทศไทย
    จากสุวรรณภูมิ
    1. แสดงความหลากหลายทั้งสภาพแวดล้อมแบบชีวภาพและความหลากหลายทางชาติพันธ์
    2. สร้างสำนึกเข้าใจผู้คน บ้านเมือง และท้องถิ่นของตน และ
      เชื่อมโยงความสัมพันธ์ลักษณะเครือญาติกับประเทศเพื่อนบ้าน
      ก่อให้เกิดความสมานฉันท์ และสันติภาพในภูมิภาค
    3. แสดงศักยภาพและความสามารถของผู้คนที่อยู่
      ในประเทศไทยที่ปรับตัวได้อย่างสมดุลและชาญฉลาด
      4.เกิดจิตสำนึกแห่งความภูมิใจ และความเป็นคนไทย (Sense of Dignity) ที่เข้าใจ เห็นคุณค่า รู้จักตนเอง และภาคภูมิใจ
      นิทรรศการมีประเด็นในการจัดแสดงเป็น ๓ หัวข้อใหญ่ๆ ด้วยกันคือ
      ๑) ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ สุวรรณภูมิ อันเป็นภูมิภาคแห่งความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมมาตั้งแต่สมัยยุคเหล็ก คือ ประมาณ ๒,๕๐๐ ปีลงมา ซึ่งนับอยู่ในต้นพุทธกาลที่คนอินเดียเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า สุวรรณภูมิ คนตะวันตกเรียกว่า หมู่เกาะอินเดียตะวันออกและอินโดจีน เพิ่งมาเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นเอเชียอาคเนย์ในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
      ๒) การเผยแพร่พุทธศาสนาในสุวรรณภูมิราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๔ พระเจ้าอโศกมหาราชของอินเดีย ผู้ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปภัมภกของพระพุทธศาสนา ได้ส่ง พระโสณะและพระอุตระเป็นสมณทูตมาเผยแพร่พุทธศาสนาที่สุวรรณภูมิ เพราะเป็นดินแดนแห่งความมั่งคั่ง ผู้คนมีความเจริญเป็นบ้านเป็นเมืองที่มีการค้าขายติดต่อกับภายนอกทางทะเลและทางบกแล้ว การเข้ามาของพระสมณทูตคือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญของดินแดนแห่งนี้มาก่อนการรับอารยธรรมอินเดีย
      ๓) ความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองในสมัยทวารวดี – ศรีวิชัย ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ เป็นต้นมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๕ มีพัฒนาการของบ้านเมืองในสุวรรณภูมิขึ้นเป็นรัฐใหญ่ๆ ทั้งที่อยู่ใกล้ทะเลและดินแดนภายใน มีการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมของผู้คนหลากหลายจากภายนอกที่มาทางทะเลและคนจากถิ่นต่างๆ ภายในอย่างคึกคัก

หัวข้อนิทรรศการ
๑. รู้จักสุวรรณภูมิ แสดงด้วยหลักฐานและเรื่องราวสำคัญดังต่อไปนี้

 ภาพแผนที่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด แสดงให้เห็นลักษณะของภูมิประเทศจากที่สูงในเขตภูเขามายังที่ราบต่ำและชายทะเลที่สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานของผู้คนในสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่แตกต่างกันออกไป อันสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางชีวภาพและชาติพันธุ์
 กำหนดตำแหน่งของชุมชนหมู่บ้านในยุคสำริดและชุมชนบ้านเมืองในยุคเหล็กที่อยู่ในบริเวณผืนแผ่นดินใหญ่ คือ มาเลเซีย ไทย พม่า เขมร ลาว และเวียดนาม [ตำแหน่งดูจากหนังสือไฮแอม] เน้นตำแหน่งของชุมชนโบราณในยุคสำริดและเหล็ก อันได้แก่ ท่าแค โคกพลับ ดอนตาเพชร จันเสน บ้านปราสาท บ้านเชียง ถ้ำผีแมน
ท่าแค แสดงตำแหน่งที่ตั้งและสภาพแวดล้อม ให้เห็นกลุ่มเขาสามยอดและที่ลาดลงสู่แม่น้ำลพบุรี แสดงภาพเนินดินที่ถูกทำลายแต่เผยให้เห็นชั้นดินที่อยู่อาศัย แสดงการขุดค้นและหลักฐานที่พบ เช่น ภาชนะดินเผา ตะกรันทองแดงและเหล็ก เครื่องประดับที่ทำด้วยเปลือกหอย หินมีค่า สำริด และศิลปวัตถุที่ได้รับอิทธิพลอารยธรรมอินเดียและการสืบเนื่องมาจนเกิดเมืองละโว้
จันเสน แสดงตำแหน่งแหล่งโบราณคดีที่อยู่ใกล้ที่ราบลุ่มต่ำที่บ้านใหม่ชัยมงคล สภาพการถูกขุดคุ้ยทำลายที่เต็มไปด้วยกองกระดูก หลักฐานจากสมัยก่อนเหล็กมาจนถึงสมัยเหล็ก แล้วต่อด้วยการเกิดเมืองจันเสนในสมัยทวารวดี
โคกพลับ แสดงแหล่งฝังศพในชุมชนลุ่มน้ำลำคลองใกล้ทะเลในยุคก่อนเหล็กหรือสำริด การขุดค้นที่พบโครงกระดูก มีเครื่องประดับที่ทำด้วยหินมีค่า เช่น ตุ้มหูที่มีตุ่มแหลมประดับ หวีกระดูกสัตว์ ก่องแขนสำริด แหล่งโบราณคดีแห่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการติดต่อทางทะเลจากชายทะเลในเขตเวียดนามเหนือและจีนตอนใต้ในสมัยก่อนเหล็ก เพิ่มเติมด้วยการจำลองตุ้มหูหินมีค่าที่มีปุ่มแหลมและหวีกระดูกสัตว์ที่เป็นแบบของจีนแต่สมัยราชวงศ์โจวขึ้นไป
ดอนตาเพชร แสดงตำแหน่งของชุมชนและแหล่งฝังศพที่อยู่ในบริเวณต้นน้ำจระเข้สามพันที่ต่อเนื่องไปจนบริเวณเมืองอู่ทอง แสดงโบราณวัตถุที่พบจากการขุดค้นและการรวบรวมของคนในท้องถิ่น ได้แก่
• เครื่องมือเหล็กรูปแบบต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึง specialization อันสะท้อนให้เห็นระดับความเจริญของชุมชนในลักษณะที่เป็นสังคมเมือง
• เครื่องประดับและวัตถุทางสัญลักษณ์ที่ทำด้วยสำริดหล่อบาง เช่น ภาชนะที่มีภาพควาย ผู้หญิงที่แสดงทรงผม เสื้อผ้า โบราณวัตถุชิ้นนี้นำไปเชื่อมกับชิ้นที่พบที่จอมบึงที่มีภาพรูปร่างผู้หญิงที่มีสรีระแบบหญิงอินเดีย ภาพของสัตว์ เช่น ช้าง ม้า และอื่นๆ ที่เป็นของร่วมสมัย สุ่มไก่ และนกยูง รวมทั้งลวดลายก้านขดที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมดองซอน
• แสดงเครื่องประดับที่ทำด้วยหินมีค่าและแก้วสี เช่น ลูกปัดแต่งสี (เอชบีด แบบต่างๆ ที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมอินเดีย ตุ้มหูแบบ ลิง-ลิง-โอ ที่มาจากวัฒนธรรมซาหวิ่น (ก่อนจาม) จากเวียดนาม
• ทำหุ่นจำลองของ ลิง-ลิง-โอ ที่ทำด้วยหินเขียวและคาร์นีเลียนให้เป็นสัญลักษณ์ของทางตะวันออกมาพบกับหุ่นจำลองของลูกปัดสิงห์ที่ทำด้วยหินคาร์นีเลียนอันเป็นสัญลักษณ์ของทางตะวันตก เช่น อินเดีย
• ลิง-ลิง-โอ คือ ควายหรือสัตว์มีเขา
สิงห์ คือ สัตว์เนรมิตที่มาจากสิงโตซึ่งกลายเป็นราชสีห์
บ้านปราสาท แสดงตำแหน่งที่ตั้งของทุ่งสำริดอันเป็นที่ราบลุ่มอุดมไปด้วยแหล่งผลิตเกลือและการถลุงเหล็ก แสดงชั้นดินที่อยู่อาศัยลึกลงไปจนถึง ๔-๖ เมตร แสดงโบราณวัตถุ เช่น ภาชนะดินเผา เครื่องประดับและเครื่องมือเครื่องใช้ที่มีพัฒนาการมาแต่สมัยแรก (ภาชนะปากแตร) มาจนถึงสมัยกลาง คือสมัยพิมายต่อเรื่อยมาจนถึงสมัยเจนละและลพบุรี แสดงภาพรวมของการกระจายตัว ชุมชนบ้านและเมือง ที่ต่อมามีเมืองพิมายเป็นศูนย์กลาง
แสดงโครงกระดูกมนุษย์สมัยเหล็กตอนปลายที่มีเครื่องประดับและเครื่องเซ่นศพอันสะท้อนให้เห็นสถานภาพทางสังคมและระดับความเจริญของบ้านเมืองจากแหล่งโบราณคดีที่ไฮแอมขุด
บ้านเชียง แสดงตำแหน่งที่ตั้งของชุมชนและสภาพแวดล้อมที่สัมพันธ์กับป่าละเมาะ ลำน้ำลำห้วย หนองน้ำและที่ราบลุ่ม แสดงให้เห็นโบราณวัตถุหลายยุคหลายสมัยที่นอกจากมีรูปแบบสัมพันธ์กับผู้คนในดินแดนภายนอก เช่น จากชายทะเลและจีนตอนใต้แล้ว ยังเป็นชุมชนที่มีวามโดดเด่นในเรื่องสุนทรีย์ อันสะท้อนให้เห็นจากลวดลายเขียนสีบนภาชนะดินเผาที่ไม่เหมือนในที่อื่นๆ ในประเทศไทย
ถ้ำผีแมน แสดงให้เห็นตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ การกระจายตัวของถ้ำในเขตแม่ฮ่องสอนที่แสดงการเคลื่อนไหวของคนภายนอกในเรื่องการตั้งถิ่นฐานและการแลกเปลี่ยนของป่า เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงสังคมของคนบนที่สูงในหุบเขาตั้งแต่เหนือลงมาจนถึงกาญจนบุรี
• แสดงภาพเพิงผาที่ประกอบพิธีกรรม ภาพเขียนสีและโลงไม้ รวมทั้งเครื่องประดับและเครื่องมือเครื่องใช้
• แสดงสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์คือ รูปคนทำตัวเป็นกบ อาจเสริมด้วยภาพจากแหล่งพิธีกรรมภาพเขียนสีหรือสลักหินในที่อื่นๆ เช่น ผาแต้ม ประตูผา และภูผายนต์ เป็นต้น
• สิ่งที่ควรนำมาจัดแสดงให้เห็นเป็นสัญลักษณ์ของท้องถิ่นก็คือ ภาชนะดินเผาบ้านเชียง บ้านปราสาท แบบปากแตรและพิมายดำ ท่าแค โลงผีแมน
• แสดงภาพผู้คนท้องถิ่นให้แลเห็นหน้าตา ทรงผม และเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะผู้ชายที่นุ่งผ้าเตี่ยว แต่ในงานพิธีกรรมมีผ้าชายไหว ชายแครง ให้แลเห็นการใช้เครื่องประดับหัวด้วย เพราะเป็นการบอกสถานภาพทางสังคม

๒. พุทธศาสนามายังสุวรรณภูมิ
 ชื่อสุวรรณภูมิมาจากคนตะวันตก โดยเฉพาะคนอินเดียที่เดินทางด้วยเรือสำเภามาค้าขายในดินแดนที่เห็นว่ามีความมั่งคั่ง อารยธรรมจากภายนอกโดยเฉพาะอินเดียจึงมากับผู้คนที่เข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐาน เพราะดินแดนนี้มีผู้คนอยู่น้อยมาแต่ดึกดำบรรพ์
 การเคลื่อนย้ายของผู้คนจากภายนอกทุกสารทิศมีมาแต่สมัยยุคสำริดเป็นต้นมา คนที่เข้ามาเหล่านี้ส่วนใหญ่มีความเจริญในด้านเทคโนโลยีและสังคมวัฒนธรรมอยู่แล้ว
 ครั้นถึงยุคเหล็กก็มีพัฒนาการเป็นบ้านเล็กเมืองน้อยอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะมีการรวมกลุ่มกัน โดยมีหัวหน้าปกครองที่พร้อมจะพบปะติดต่อกับคนจากภายนอกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานหรือค้าขายในระดับเสมอภาค จึงทำให้การรับวัฒนธรรมจากภายนอกมีลักษณะเป็นการเลือกเฟ้นเพื่อให้เหมาะสมกับท้องถิ่นของตนเอง
 ในพุทธศตวรรษที่ ๔ อินเดียมีพระมหาราชที่ยิ่งใหญ่ ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาของโลก จึงทรงสั่งสมณทูตไปเผยแพร่ในภูมิภาคต่างๆ ทั้งทางบกและทางทะเล
 หนึ่งในสมณทูตดังกล่าว คือ พะโสณะและพระอุตระ ที่เข้ามาสุวรรณภูมิทางทะเล บริเวณที่เข้ามานั้น จากหลักฐานทางโบราณคดีและตำแหน่งภูมิศาสตร์น่าจะอยู่บริเวณที่เรียกว่า แหลมทอง อันอยู่ในคาบสมุทรไทยต่อคาบสมุทรมลายู นั่นคือ บริเวณตอนเหนือของคายสมุทรมลายู ตั้งแต่จังหวัดปัตตานีขึ้นมาจนถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยาของประเทศไทย
 เพราะตั้งอยู่ระหว่างการค้าจากตะวันตกมาตะวันออก การค้าสำเภาในสมัยสุวรรณภูมิ นั้น จากตะวันตกไปตะวันออกหาได้เดินทางทะเลด้วยสำเภารวดเดียวไม่ หากเป็นการเป็นการเดินทางจากเมืองท่าในอินเดีย ลังกา หรือที่อื่นจากกรีกและโรมันข้ามอ่าวเบงกอลในทะเลอันดามันมายังเมืองท่าในคาบสมุทรไทยแล้วจึงขนถ่ายสินค้าข้ามเส้นทางข้ามคาบสมุทรมายังเมืองท่าบนฝั่งอ่าวไทยในเขตทะเลจีน เส้นทางข้ามคาบสมุทรมีหลายเส้น
 เส้นเหนือสุดคือ ทวาย ตะนาวศรี มายังประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี
 เส้นต่ำไปจากบริเวณชายฝั่งทะเลในอ่าวพังงามายังอ่าวบ้านดอนและนครศรีธรรมราช
 และเส้นต่ำสุดคือจากเปรัคและไทรบุรีในเขตประเทศมาเลเซียมายังอ่าวปัตตานี ทำให้พื้นที่ใกล้ทะเลทั้งฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกที่อยู่ในจุดเริ่มต้นและปลายทางของเส้นทางข้ามคาบสมุทรเป็นบริเวณที่เกิดชุมชนบ้านเมืองขึ้น แต่โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ที่จุดสมบูรณ์เป็นที่ตั้งหลักแหล่งของบ้านเมืองมักอยู่ทางฝั่งตะวันออก เพราะนอกจากมีที่ราบชายทะเลและคลื่นลมที่สงบแล้ว ยังขานรับกับการเคลื่อนย้ายของคนจากภาคใต้ของประเทศจีนเข้ามาตั้งหลักแหล่งและแลกเปลี่ยนสินค้าตั้งแต่สำริดลงมาด้วย การแสดงนิทรรศการในตอนนี้ จะมีดังนี้
• แผนที่ภูมิประเทศของคายสมุทรไทยที่แสดงเส้นทางการค้าและคมนาคมทางทะเล จากเมืองท่าชายทะเลฝั่งตะวันออกของอินเดียและลังกา มายังฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรไทย แสดงตำแหน่งของเมืองท่าและชุมชนโบราณบนเส้นทางข้ามคาบสมุทรจากฝั่งตะวันตกไปตะวันออก รวมทั้งบรรดาตำแหน่งเมืองท่ารอบๆ อ่าวไทยไปจนถึงปากแม่น้ำโขงและชายทะเลของประเทศเวียดนามตอนกลาง
• แสดงภาพของเรือสำเภาและเรือสินค้าของคนพื้นเมืองในยุคพุทธกาลและยุคต้นประวัติศาสตร์ โดยดูตัวอย่างจากภาพสลักที่บูโรพุทธ ภาพในดวงตราดินเผาที่พบที่คลองท่อมและที่นครปฐม ดูลักษณะโครงสร้างจากเรือของคนพื้นเมืองที่มี out trigger ประกบ เรือใบสามเสามี out trigger เป็นต้น
• แสดงภาพภูมิประเทศของเมืองท่าสมัยสุวรรณภูมิ ทั้งฝั่งทะเลอันดามันและฝั่งทะเลจีน อันได้แก่ สะเทิม คลองท่อม อู่ทอง และออกแอว

  • ตำแหน่งของเมืองสะเทิม เป็นอ่าวอยู่ข้างหน้าเมืองและมีภูเขาอยู่ข้างหลัง โดยที่เมืองตั้งอยู่บนที่ลาดลุ่มลงสู่ชายน้ำ ลักษณะเช่นนี้เป็นเช่นเดียวกันกับเมืองอู่ทองที่มีเทือกเขาท่าเทียมอยู่ข้างหลัง
  • ตำแหน่งของคลองท่อมที่น่าจะเป็นเมืองตักโกลาในอ่าวพังงา โดยใช้แผนที่แสดงทางน้ำจากทะเลเข้ามาในบริเวณแหล่งโบราณคดีที่มีทั้งผังบริเวณและภาพถ่ายประกอบ อาจนำโบราณวัตถุที่พบ เช่น แร่ ชิ้นส่วนของแก้ว ลูกปัดที่ขุดขึ้นหรือทำขึ้นในบริเวณนั้น รวมทั้งศิลปวัตถุที่หาได้ แต่ที่สำคัญก็คือ ภาพของหญิงโรมันที่สลักลงบนหินมีค่า
  • ตำแหน่งของเมืองออกแอวควรแสดงด้วยภาพเขียนแลเห็นภูเขาอยู่เบื้องหลัง ข้างหน้าเป็นที่ลุ่มมีบ้านเรือนตั้งอยู่บนเสาสูง มีศาสนสถาน มีลำคลองขุดที่มีเรือนานาชนิดทั้งมาจากภายนอกและที่มาจากภายใน เมืองออกแอวเป็นเมืองท่าของแคว้นฟูนันที่มีเมืองศูนย์กลางอยู่ที่เมืองอังกอร์โบเรย
    • แสดงภาพเขียนสีหรือไม่ก็รูปจำลองเหตุการณ์ เป็นภาพขนาดใหญ่ให้เห็นถึงพระโสณะและพระอุตระ เดินทางจากฝั่งทะเลเมืองทวาย ข้ามเขาตะนาวศรีมายังสวนผึ้ง จอมบึง ราชบุรี แล้วต่อมายังเมืองอู่ทองพำนักอยู่ ณ เขาปุษยคีรี มีเจ้าเมืองบริวารและชาวเมืองมาฟังธรรม

๓. ทวารวดี – ศรีวิชัย
 การรับอารยธรรมอินเดียในด้านศาสนา อักษรศาสตร์ รัฐศาสตร์ และศิลปะวิทยาการต่างๆ ของคนสุวรรณภูมินั้น หาได้เป็นไปในลักษณะที่คนในอินเดียเข้ามามีอำนาจครอบงำให้ยอมเชื่อและยอมรับไม่ หากเป็นการที่ผู้นำของบ้านเมืองแต่ละแห่ง ได้เลือกเฟ้นรูปแบบวัฒนธรรมที่เหมาะสมกับสังคมท้องถิ่นของคนเข้ามา
 เหตุที่รับวัฒนธรรมอินเดียเพราะ วัฒนธรรมอินดียมีเกียรติภูมิสูงกว่าวัฒนธรรมท้องถิ่น จึงมีศักยภาพในการสื่อสารได้มากกว่า ทำให้สามารถบูรณาการความหลากหลายทางวัฒนธรรม อันเนื่องมาจากความแตกต่างทางชาติพันธุ์ของผู้คนในบ้านเมืองได้
 ศาสนา ความเป็นกษัตริย์ และอักษรศาสตร์ จากอินเดีย จึงกลายเป็นสิ่งที่ผู้นำบ้านเมืองแต่ละแห่งรับไปใช้เหมือนกัน ด้วยการเชื้อเชิญพระสงฆ์ พราหมณ์ และปราชญ์ราชบัณฑิตที่เป็นคนอินเดียเข้ามาเป็นที่ปรึกษาในราชสำนัก
 เรื่องของศาสนาแต่ละบ้านเมืองอาจจะแตกต่างกันออกไป บางเมืองเลือกพระพุทธศาสนามาเป็นศาสนาหลัก โดยมีศาสนาฮินดูและลัทธิศาสนาอื่นรองลงไป แต่บางแห่งก็เลือกศาสนาฮินดูและพุทธมหายานเป็นสำคัญกว่าศาสนาอื่น เป็นต้น
 ในขณะที่ระบบกษัตริย์มีความคล้ายคลึงกันและใช้ภาษาสันสกฤตและบาลีเป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาและราชการเหมือนกัน เป็นเหตุให้กษัตริย์ในแต่ละบ้านเมืองสื่อสารและสัมพันธ์กันได้ นั่นคือ อารยธรรมอินเดียในรูปของศาสนา ระบบกษัตริย์ การปกครอง และอักษรศาสตร์ สามารถสลายความเป็นเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมของผู้นำให้หมดไป ทำให้อยู่เหนือระดับความเป็นชาติพันธุ์ที่มีอยู่หลากหลายในบ้านเมือง เข้าสู่สถานภาพที่ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ และเข้าสู่ความเป็นบุคคลชั้นเดียวกับบรรดาผู้นำที่เป็นกษัตริย์ในบ้านเมืองอื่น
 ความเป็นประเภทเดียวกันนี้ เป็นสิ่งนำไปสู่ความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างกษัตริย์ต่างเมืองกัน ความสัมพันธ์ทางสังคมที่โดดเด่นก็คือ การแต่งงานระหว่างกัน ที่มีผลนำไปสู่การรวมบ้านเมืองคู่สัมพันธ์ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้นำไปสู่การสืบราชสมบัติและสร้างเครือข่ายระหว่างเมืองต่างๆ ให้รวมกันเป็นกลุ่มเป็นรัฐขึ้นมา
 ศาสนา ลัทธิการปกครองแบบกษัตริย์ อักษรศาสตร์ และพิธีกรรมในอารยธรรมอินเดียที่ได้รับการปลูกฝังตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๔ นั้น ได้เติบโตเป็นรูปธรรมขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๖-๗ อันเป็นเวลาที่มีการติดต่อกับจีนเพิ่มขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น จีนขยายอำนาจเข้าสู่เวียดนามเหนือ แต่การค้าของจีนที่ผ่านเวียดนามกลางมาจนปากแม่น้ำโขงและอ่าวไทย รวมทั้งกับบรรดาบ้านเมืองในเกาะสุมาตราและชวา ได้ทำให้เกิดการรวมตัวของบ้านเมืองในสุวรรณภูมิขึ้นเป็นเป็นแว่นแคว้นใหญ่น้อยมากมาย
 ในระยะนี้มีจดหมายเหตุจีนกล่าวถึงบรรดาแคว้นเหล่านี้ไว้ค่อนข้างชัดเจน แต่ส่วนใหญ่เป็นแคว้นและรัฐใกล้ทะเลที่สัมพันธ์กับเส้นทางการค้าทางทะเล ในการรับรู้ของจีนในขณะนั้น ระบุว่าแคว้นใหญ่ที่สำคัญที่มีการขยายอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจไปครอบงำแคว้นอื่นๆ นั้นคือ แคว้น ฟูนัน เป็นแคว้นที่มีการนับถือทั้งพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู มีการส่งทูตไปเมืองจีน จากหลักฐานทางโบราณคดี ศูนย์กลางของฟูนันอยู่ใกล้ปากแม่น้ำโขง มีเมืองออกแอวเป็นเมืองท่าและเมืองอังกอร์เบอเรยเป็นเมืองศูนย์กลางของรัฐ จดหมายเหตุจีนกล่าวถึงการรุกรานของฟูนันมายังบ้านเมืองในอ่าวไทย แคว้นกิมหลินที่แปลว่า แผ่นดินทอง เมืองสำคัญของกิมหลินตามหลักฐานทางโบราณคดีน่าจะเป็น เมืองอู่ทอง
 พัฒนาการของรัฐฟูนันและรัฐร่วมสมัยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๗ ตามที่กล่าวถึงในจดหมายเหตุจีนยุคแรกๆ นั้น สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของบ้านเมืองใกล้ทะเล บนเส้นทางการค้าและการคมนาคมจากตะวันตก คือ จากอินเดียเข้าสู่แหลมทอง ข้ามคาบสมุทรโดยทางบกสู่เมืองท่าทางฝั่งตะวันออก แล้วผ่านอ่าวไทยไปปากแม่น้ำโขง ไปเวียดนาม และจีนตามลำดับ
 จนพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ ความเป็นรัฐใหญ่และอำนาจทางทะเลของฟูนันก็เสื่อมไป เพราะการขยายตัวทางการค้าทั้งทางทะเลและเส้นทางการค้าภายในของภูมิภาค ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดแคว้นใหญ่ๆ ขึ้นมาอีกหลายแคว้น ดังในจดหมายเหตุจีนสมัยราชวงศ์ถัง ที่มีพระภิกษุจีนองค์สำคัญ ๒ องค์ คือ หลวงจีนฟาเหียนและหลวงจีนเหี้ยนจัง ที่รู้จักกันในนามพระถังสัมจั๋ง เดินทางไปสืบพระพุทธศาสนาที่อินเดีย องค์แรกเดินทางโดยทางทะเลที่ผ่านอ่าวไทย ส่วนองค์หลังเดินทางบกผ่านภูเขาและทะเลทรายไปทางเหนือ แต่ทั้งสององค์ได้บันทึกถึงแคว้นใหญ่แคว้นสำคัญในพื้นแผ่นดินใหญ่ของสุวรรณภูมิอย่างชัดเจนเหมือนกัน คือ แคว้นศรีเกษตร ในลุ่มน้ำอิรวดีในประเทศพม่า แคว้นนครชัยศรีในลุ่มน้ำแม่กลอง-ท่าจีน แคว้นทวารวดีในลุ่มน้ำลพบุรี-ป่าสัก แคว้นอีสานปุระในลุ่มแม่น้ำโขง และแคว้นมหาจัมปาที่อยู่ใกล้ทะเลในประเทศเวียดนาม
 จากหลักฐานทางโบราคดีซึ่งเป็นหลักฐานภายในนั้น แสดงให้เห็นว่า ศรีเกษตร นครชัยศรี ทวารวดี เป็นรัฐที่นับถือพุทธศาสนาเถรวาทเป็นศาสนาหลัก ส่วนอิสานปุระและมหาจัมปา ให้ความสำคัญกับศาสนาฮินดูและพุทธมหายาน
• แสดงแผนที่ภูมิประเทศของอุษาคเนย์ลงตำแหน่งของเมืองสำคัญ คือ ศรีเกษตร นครชัยศรี ละโว้ (ทวารวดี) สมโบร์ไพรกุก และอมราวดี (จาเกี้ยงและมีเชิน)
• แสดงภาพของโบราณสถานและโบราณวัตถุที่ให้เห็นความแตกต่างระหว่างพุทธเถรวาท พุทธมหายาน และฮินดู
• พุทธเถรวาทแสดงด้วยรูปแบบพระสถูปเจดีย์ทรงกลม พระพุทธรูปยืน พระพุทธรูปนั่งเก้าอี้ พระนอน ธรรมจักร พระพุทธรูปปางพนัสบดี เสมาอีสานที่แสดงภาพชาดกและพุทธประวัติ
• พุทธมหายาน แสดงด้วยปราสาท รูปเคารพพระพุทธรูปนาคปรก พระโพธิสัตว์ และรูปแบบของสัญลักษณ์
• ฮินดูแสดงด้วยรูปแบบของปราสาท รูปเคารพศิวลึงค์ เทวรูป พระวิษณุ นางทุรคา พระกฤษณะ ฯลฯ

 ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๓ เป็นต้นมา ทีการขยายตัวทางการค้าทางทะเล และเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมมากขึ้นกว่าเดิม นั่นคือ ความก้าวหน้าทางพานิชย์นาวี ทำให้เกิดเรือสำเภาขนาดใหญ่ที่เดินทางไกลได้ดีกว่าเดิม ทำให้เส้นทางการค้าระหว่างตะวันตกและตะวันออกที่แต่เดิมใช้เส้นทางข้ามคาบสมุทรจากฝั่งทะเลอันดามันมายังฝั่งอ่าวไทย มาเป็นการเดินเรือจากทางตะวันตกผ่านช่องแคบมะละกามายังอ่าวไทยและทะเลจีน
 การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้เกิดรัฐที่มีอำนาจทางทะเลขึ้นมา ที่มีนามว่า ศรีวิชัย รัฐนี้มีฐานอำนาจอยู่ในเกาะสุมาตราและเกาะชวา และมีพัฒนาการขึ้นจากการรวมตัวของรัฐต่างๆ ที่อยู่ทั้งในหมู่เกาะและคาบสมุทร
 ศรีวิชัยทำหน้าที่เป็นคนกลางในการค้าขายกับทางตะวันตกคืออินเดีย และทางตะวันออกคือจีน จึงเกิดความมั่งคั่งและมีอำนาจ ได้ขยายเส้นทางการค้าไปยังที่ต่างๆ ทั้งใกล้และไกล และสิ่งที่ตามมากับการค้าขายก็คือ การแพร่พุทธศาสนามหายานในพื้นแผ่นดินใหญ่สุวรรณภูมิ เช่น ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำโขง รวมทั้งภาคใต้ของประเทศไทย ได้เกิดเมืองท่าและเมืองภายในขึ้นหลายแห่ง อย่าเช่น เมืองคูบัว ในเขตจังหวัดราชบุรี นับเป็นเมืองสำคัญที่เกิดขึ้นในระยะนี้ ส่วนเมืองภายในได้แก่ เมืองศรีเทพในลุ่มน้ำป่าสักในหุบเขาเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นเมืองสำคัญบนเส้นทางการค้าและการคมนาคมข้ามเทือกเขาดงพญาเย็นสู่ที่ราบสูงโคราช พุทธศาสนามหายานแพร่หลายตามเส้นทางนี้ไปจนบริเวณเมืองพิมาย และบริเวณใกล้เคียงในเขตอำเภอลำปลายมาศและนางรอง ก่อนที่จะผ่านไปยังที่ราบลุ่มเขมรต่ำในเขตทะเลสาบเขมรของกัมพูชา
 อิทธิพลของเส้นทางการค้าและการแพร่หลายของพุทธมหายานตามที่กล่าวนี้ยังส่งผลเข้าไปผสมผสานในเรื่องลัทธิความเชื่อของบรรดาบ้านเมืองที่เคยเป็นพุทธเถรวาทและฮินดูมากขึ้นด้วย
• แสดงแผนที่ภูมิประเทศในดินแดนประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงให้เห็นถึงเส้นทางการคมนาคมและการเกิดเมืองสำคัญรุ่นใหม่ขึ้น เช่น เมืองคูบัว เมืองศรีเทพ เมืองฝ้าย เมืองพิมาย และเมืองปัตตานี เป็นต้น
• แสดงภาพเขียนพาโนรามา หุ่นจำลองของเมืองศรีเทพ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นชุมชนที่นับถือศาสนาฮินดูมาก่อน ได้พัฒนาขึ้นใหญ่โตมีคูน้ำคันดินล้อมรอบขนาดใหญ่ มีการสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่ที่เป็นพุทธขึ้นกลางเมืองที่เรียกว่า คลังใหญ่ ทางด้านตะวันตกของเมืองศรีเทพมีเขาศักดิ์สิทธิ์ชื่อ เขาถมอรัตน์ มีถ้ำที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและเทวรูปพระโพธิสัตว์ในลัทธิมหายาน รวมทั้งแสดงให้เห็นเส้นทางคมนาคมจากเมืองโบราณในเขตจังหวัดชัยนาทมานครสวรรค์ ผ่านเขาถมอรัตน์มาแวะที่ศรีเทพ ก่อนเดินทางต่อไปยังบ้านเมืองในที่ราบสูงโคราช
• แสดงภาพโบราณวัตถุในคติมหายานที่พบในเขตพิมายและบุรีรัมย์ เช่น พระเศียร พระกร และพระชงค์ ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสำริด ที่พบที่บ้านโตนด อำเภอโนนสูง และเทวรูปพระโพธิสัตว์ที่พบในกรุเขาปลายบัต จังหวัดบุรีรัมย์
• แสดงบ้านเมืองสมัยศรีวิชัยในภาคใต้ อันได้แก่ ไชยาและปัตตานี โดยเฉพาะปัตตานีนั้น แสดงให้เห็นผังของเมืองและศาสนสถานในเขตอำเภอยะรัง อันเป็นบริเวณที่เคยเป็นเมืองสำคัญของรัฐลังกาสุกะ
• แสดงการแพร่หลายของพระพิมพ์ที่สร้างขึ้นในลัทธิศาสนามหายานที่พบตามท้องถิ่นต่างๆ ในภาคใต้

ถึงสยามประเทศ

 ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๕ อำนาจทางทะเลของศรีวิชัยเสื่อม เพราะเกิดการรบพุ่งกับพวกโจฬะจากอินเดียใต้ ผู้เป็นคู่แข่งในการค้าทางทะเลเหมือนกัน ในขณะเดียวกันทางจีนที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ของศรีวิชัยก็หันไปค้าขายโดยตรงกับบ้านเมืองต่างๆ ที่เป็นแหล่งสินค้า โดยไม่ต้องให้ศรีวิชัยเป็นคนกลางที่ทำหน้าที่เป็นผู้ผูกขาด โดยเฉพาะการค้าทางตรงของจีนนี้ ได้ทำให้เกิดการค้าขายของคนในท้องถิ่นเพิ่มขึ้น เกิดบ้านเมืองใหม่ๆ ขึ้นมาก ทั้งมีการรวมตัวกันเป็นรัฐใหญ่ๆ ที่มีอำนาจในพื้นแผ่นดินใหญ่ขึ้นมาหลายแห่ง ที่สำคัญก็คือ กัมพูชาและพุกาม ต่างก็มีฐานะเป็นอาณาจักร
 กัมพูชาเกิดขึ้นแทนที่รัฐเจนละเดิมในลุ่มแม่น้ำโขง มีราชธานีสำคัญอยู่ที่เมืองพระนคร ในขณะที่พุกามอยู่ทางตะวันตก พัฒนาขึ้นแทนรัฐพยู่ ที่มีเมืองศรีเกษตรเป็นศูนย์กลาง อาณาจักรพุกามริมฝั่งแม่น้ำอิรวดีตอนบน
 ในดินแดนประเทศไทยซึ่งอยู่ขนาบด้วยกัมพูชาและพุกามนั้น รัฐเดิมที่เคยใหญ่โตมาก่อน คือ นครชัยศรีและทวารวดีลดความสำคัญลง อันเนื่องมาจากมีการเคลื่อนไหวของผู้คนจากภายนอกและภายในที่มีการขยายตัวทางการค้า ทำให้มีการสร้างบ้านแปลงเมืองกันขึ้นมากมายหลายแห่ง รวมทั้งมีการรวมตัวกันเป็นนครรัฐใหม่ๆ ที่มีความสำคัญอยู่ที่เมืองใหญ่ ได้แก่ นครศรีธรรมราช ปัตตานี สุพรรณภูมิ ละโว้ สุโขทัย หริภุญไชย โยนก เวียงจันทน์ เป็นต้น หลักฐานจากศิลาจารึกสุโขทัยและจดหมายเหตุจีน ชี้ให้เห็นว่า นครรัฐเหล่านี้มีการรวมตัวกันอย่างหลวมๆ ออกเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มสยามที่จีนเรียกว่า เสียมก๊ก และกลุ่มละโว้หรือ หลอฮกก๊ก
 ละโว้นับเนื่องเป็นปริมณฑลของอาณาจักรกัมพูชา แต่กลุ่มสยามเป็นอิสระและกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่ทั้งเหนือใต้และตะวันตก ที่คนภายนอกมักเรียกพื้นที่นี้ว่า สยามเทศะ หรือ สยามประเทศ และผู้คนที่อยู่ต่างเมืองแต่อยู่ในดินแดนเดียวกันว่า ชาวสยามหรือเสียม
 แต่เหนืออื่นใด ความสำคัญของสยามนั้นหาใช่อยู่ที่พื้นที่หรือดินแดนแต่เพียงอย่างเดียว หากอยู่ที่มีผู้คนหลายชาติพันธุ์จากภายนอกได้เคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นมาใหม่ ทำให้ดินแดนประเทศไทยที่มีมาแต่สมัยทวารวดี-ศรีวิชัย มีผู้คนเพิ่มขึ้น และมีเมืองใหญ่น้อยเกิดขึ้นมากมายนั่นเอง
 กลุ่มคนจากภายนอกที่เคลื่อนย้ายเข้ามานั้น ส่วนใหญ่มาจากทางตอนใต้ของประเทศจีนและเคลื่อนมาทั้งทางบกและทางทะเล การเข้ามามีทั้งตั้งหลักแหล่งเป็นบ้านเมืองใหม่และผสมผสานกับผู้คนตามบ้านเมืองเก่าที่มีอยู่แล้ว ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองขึ้นอย่างต่อเนื่องและอาจแบ่งออกได้เป็น ๒ ช่วงเวลาด้วยกัน
 ช่วงแรกระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ เป็นการเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจการเมืองของอาณาจักรเมืองพระนคร เมืองราชธานีกลายเป็นศูนย์กลางนานาชาติและมีปริมณฑลกว้างขวางอันเนื่องจากบรรดาบ้านเล็กเมืองน้อยที่อยู่ภายนอกสวามิภักดิ์ ทำให้ดีราชอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โต และมีเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างกษัตริย์ผู้ครองราชอาณาจักรกับกษัตริย์เจ้านครรัฐใหญ่น้อยอย่างใกล้ชิด ดังเช่น ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์เมืองพระนครกับกษัตริย์เมืองละโว้ ในขณะที่บรรดากษัตริย์ผู้ครองนครรัฐในสยามประเทศมีลักษณะยืดหยุ่น บางเมืองเช่นหริภุญไชยใกล้ชิดกับพุกาม สุโขทัยแม้มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับเมืองพระนครแต่ก็มีความใกล้ชิดทางเศรษฐกิจกับพุกามมากว่านครรัฐอื่นๆ เช่น สุพรรณภูมิ นครศรีธรรมราช มีการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นอิสระกว่า อันเนื่องมาจากมีการค้าขายทางทะเลโดยตรงกับจีน ความเป็นอิสระดังกล่าวนี้ได้ทำให้มีการเคลื่อนไหวของผู้คนจากภายนอก โดยเฉพาะจากตอนใต้ของประเทศจีนเคลื่อนย้ายลงมาตามเส้นทางการค้าเข้ามาทั้งค้าขายและตั้งถิ่นฐาน ทำให้เกิดบ้านเล็กเมืองน้อยเพิ่มขึ้น อาจกล่าวได้ว่าการเคลื่อนย้ายของผู้คนในยุคนี้มีจำนวนมากและหลากหลายทางชาติพันธุ์ ที่ทำให้เกิดคนรุ่นใหม่ขึ้นในสุวรรณภูมิทั้งหมดก็ได้
 โดยเฉพาะสยามประเทศนั้น เมืองใหม่และคนรุ่นใหม่เกิดขึ้นมากมายกว่าที่อื่น อันเนื่องมาจากการเคลื่อนย้ายของผู้คนที่มาทั้งทางบกและทางทะเล การปรากฏตัวของคนรุ่นใหม่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์นั้นแลเห็นได้ชัดเจนในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ นั่นคือ การเกิดกลุ่มอำนาจใหม่ขึ้นมาแทนที่กลุ่มเก่า ซึ่งเห็นได้จากการเปลี่ยนราชวงศ์ของกษัตริย์และการหมดความสำคัญของเมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรใหญ่ เช่น พุกามและเมืองพระนคร และเมืองที่เป็นนครรัฐ เช่น ละโว้ หริภุญชัย นครศรีธรรมราช เป็นต้น การแพร่หลายของพุทธศาสนาเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ที่เห็นได้จากรูปแบบศิลปสถาปัตยกรรมของศาสนสถานตามเมืองสำคัญๆ ต่างๆ โดยเฉพาะพระบรมธาตุเจดีย์และการเกิดตำนานพงศาวดารที่กล่าวถึงการสร้างพระบรมธาตุและเมืองโดยกษัตริย์ในตำนาน
 กษัตริย์ในตำนานดังกล่าวนี้อาจจะมีตัวตนจริงหรือไม่ก็ได้ แต่เป็นสิ่งที่ผู้คนตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมาสร้างขึ้นให้เป็น ผู้นำทางวัฒนธรรม [culture hero] เพื่ออธิบายประวัติความเป็นมาของผู้คนในแต่ละท้องถิ่นและภูมิภาคที่เป็นบรรพบุรุษของพวกตน ซึ่งนับเนื่องเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีรากเหง้ามาจากการเคลื่อนย้ายของผู้คนตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๗ ลงมา อาจกล่าวได้ว่า หลักฐานจากภายในที่กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของผู้คนในพื้นที่สยามประเทศตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๗ ลงมานั้นไม่มีหลักฐานทางเอกสารรองรับ หากเป็นเรื่องของการจดจำแล้วเล่ากันลงมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ จึงมีการรวมมาบันทึกเป็นตำนานพงศาวดารขึ้น และดูเหมือนสิ่งสำคัญที่น้ำหนักมากกว่าสิ่งอื่นก็คือ เรื่องของภาษาที่ใช้กันในบรรดาคนหมู่มากทั้งเก่าและใหม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากภาษาเดิมๆ ที่มักเป็นภาษาบาลีสันสกฤต มอญและเขมร มาเป็นภาษาไทย จนทำให้เกิดความเข้าใจกันอย่างผิดๆในปัจจุบันว่า ภาษาไทยเป็นภาษาของชาติไทที่อพยพลงมาจากตอนใต้ของประเทศจีน แล้วเข้ามามีอำนาจแทนชนชาติเก่าที่เคยมีอำนาจในสุวรรณภูมิและสยามประเทศมาก่อน ดังนั้น การที่คนในดินแดนสยามหรือประเ

สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ. กลุ่มจัดตั้งพิพิธภัณฑ์

ถ่ายภาพที่ระลึกร่วมกัน

บุคลากรถ่ายภาพที่ระลึกร่วมกัน
แถวหน้า (นับจากซ้าย)
แถวที่ 1 :
1) นางสาวรุ่งอรุณ ธนโชคศุภเศรษฐ์ 2) นายศักดิ์สิทธิ์ เกิดโต 3) นางสาวมนัชญา นามละคร 4) นายอิศรา เหมวัน 5) นางสาวมณฑาพร ภูติสุวรรณศรี 6) นางสาวประภัสสร สุคนธสังข์ 7) นางสาวอมรรัตน์ แย้มหรุ่น 8) นายมารุตพงศ์ กาแก้ว 9) นางสาวแก้วใจ อินอ่อน 10) นางสาวทิพาวรรณ วรรณมหินทร์ 11) นายธนพล ประกอบกิจ
แถว 2 :
12) นางฆัสรา ขมะวรรณ มุกดาวิจัตร 13) นางซองทิพย์ เสริมสวัสดิ์ศรี 14) นางวัชนี สินธุวงศานนท์ 15) นายราเมศ พรหมเย็น 16) นางสาวสุขุมาล ผดุงศิลป์ 17) นางสาวปฤษฎาพร โชติธรรม 18) นายกฤชณรัตน์ สิริธนาโชติ
แถว 3 :
19) นางสาวไรวินทร์ สมสอง 20) นางสาวดวงพร แซ่ลิ้ม 21) นางสาวดวิษา ทองเต็ม 22) นางจันทนา ศรีไพรงาม 23) นางพรจัทร์ เดชตระกูล 24) นางสาวศิริพร เฟื่องฟูลอย 25) นายประชา สุขสบาย 26) นายทฤษฎี สุคชเดช 27) นางสาวบุญธิศา วิสาหะชน 28) นางสาวเนตรประภา บุรณศิริ 29) นางสาวชนน์ชนก พลสิงห์ 30) นางสาวนิภาพร เกิดสุข 31) นายธนาวุฒิ ลิ้มสุวรรณเกษม 32) นายชรรร สุขชีพ

ให้โอวาท

ผู้อำนวยการให้โอวาทและให้กำลังใจในการทำงาน
แถวหน้า (นับจากซ้าย)
1) นายราเมศ พรหมเย็น 2) นางสาวปฤษฎาพร โชติธรรม 3) นางสาวรุ่งอรุณ ธนโชคศุภเศรษฐ์ 4) นางวัชนี สินธุวงศานนท์ 5) นางสาวทฤษฎี สุคชเดช 6) นางซองทิพย์ เสริมสวัสดิ์ศรี 7) นางฆัสรา ขมะวรรณ มุกดาวิจิตร 8) นางสาวสุขุมาล ผดุงศิลป์

รดน้ำดำหัว

ในภาพเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2562 ทางเจ้าหน้าที่สพร. ได้จัดเตรียมถาดรองสำหรับรองขันใบใหญ่เพื่อรองรับน้ำอบที่รดจากมือของผู้อาวุโส โดยมีดอกดาวเรืองล้อมรอบขัน เนื่องจากเรามีความเชื่อว่าดอกดาวเรืองสื่อถึงความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานและในชีวิต
โดยวิธีการรดน้ำดำหัวเริ่มจากผู้น้อยถือขันน้ำอบใบเล็กรดไปที่มือพร้อมกับขอพร และผู้อาวุโสจะให้พรกับผู้น้อย ซึ่งคำอวยพรที่ผู้น้อยกล่าวกับผู้อาวุโส เช่น ขอให้มีความสุขมากๆนะคะ/ครับ ขอให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ขอให้มีอายุยืนยาว และคำให้พรของผู้อาวุโส เช่น ขอให้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ขอให้มีความสุขกับการทำงาน ขอให้เฮงๆรวยๆ ขอให้สุขสมหวังทุกประการ เป็นต้น

ผู้ใหญ่ที่เคารพ

เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ไทย มิวเซียมสยามได้จัดพิธีรดน้ำดำหัว เพื่อเป็นการสืบสานประเพณีสงกรานต์ ประจำปีพุทธศักราช 2562 ในวันพุธที่ 17 เมษายน 2562 เวลา 10:00 น. ณ ห้องวีไอพี ชั้นล่าง ปีกซ้าย อาคารมิวเซียมสยาม ซึ่งมีพระบรมฉายาลักษณ์ของกรมพระจันบุรีนฤนาท เสนาบดีคนแรกของกระทรวงพาณิชย์ อยู่ภายในห้อง ด้านหน้าคือ นายราเมศ พรหมเย็น ผู้อำนวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ และนางวัชนี สินธุวงศานนท์ นักจัดการความรู้อาวุโสให้เกียรติเข้าร่วมพิธีรดน้ำดำหัว

น้ำอบในขันใบเล็ก

ขันเงินใบเล็กสำหรับตักน้ำรดผู้อาวุโส โดยจะรดทีละคน และผู้อาวุโสเป็นผู้ให้พรกับผู้รดน้ำ โดยในแต่ละขันต้องมทั้งดอกมะลิและดอกกุหลาบอยู่ในขันด้วยทุกใบ

น้ำอบ

ขันใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยดอกมะลิและกลีบกุหลาบ ในขันใบใหญ่นี้มีน้ำอบซึ่งผสมกับน้ำเปล่าเพื่อเตรียมสำหรับพิธีรดน้ำดำหัวเนื่องในวันปีใหม่ไทย ซึ่งนอกจากดอกมะลิและกลีบกุหลาบจะมีความหอมสดชื่นเย็นสบายแล้ว ดอกมะลิยังแสดงถึงความสงบสุข ร่มเย็น แก่ผู้เข้าร่วมพิธี และดอกกุหลาบก็สื่อถึงความรัก ความเมตตาที่ผู้น้อยมีต่อผู้อาวุโสด้วย
“น้ำอบไทย” คือน้ำที่อบด้วยควันกำยาน หรือเทียนอบ (ทำจากผิวมะกรูด กำยาน น้ำตาลแดง ขี้ผึ้ง และจันทน์เทศ) และน้ำมาปรุงด้วยเครื่องหอม มีลักษณะเป็นน้ำใสสีเหลืองอ่อนๆ มีการนำไปใช้ในพิธีกรรมต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส งานสงกรานต์ งานขึ้นปีใหม่ สรงน้ำพระ การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และใช้ในงานศพ เป็นต้น ซึ่งการใช้น้ำอบไทยในงานประเพณีต่างๆ เป็นเครื่องแสดงถึงการสืบทอดวัฒนธรรมและเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสังคมไทย
น้ำอบไทยมีหลายกลิ่นที่นิยมกันคือน้ำอบไทยกลิ่นพิกุล กลิ่นชมนาด กลิ่นพุทธชาด หรือจะเป็นกลิ่นพื้นฐานสี่กลิ่นของน้ำอบชาววังแบบทั่วๆไปที่ใช้กลิ่นดอกไม้ 4 ชนิด

  1. ดอกมะลิ ถือเป็นดอกไม้หลักในการอบร่ำปรุงน้ำอบเพื่อให้น้ำอบมีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ
  2. ดอกกระดังงาไทย ที่ใช้ความร้อนจากเปลวเทียนให้ขับน้ำมันหอมระเหยออกมามากกว่าปกติ เมื่อนำไปลอยบนผิวน้ำกลิ่นน้ำมันหอมจะละลายไหลออกมากำซาบจับบนผิวน้ำ
  3. ดอกกุหลาบมอญหรือยี่สุ่นเทศ ให้กลิ่นหอมหวานติดปลายนาสิกตามแบบโบราณ
  4. ดอกแก้วหรือไฮซินเป็นตัวผสานกลิ่นน้ำอบทั้งหมดให้หอมยิ่งขึ้น
    4 กลิ่นนี้เป็นต้นกลิ่นของน้ำอบไทยให้กลิ่นเย็นร่ำซาบซ่านหอมอบอวลทวนลมฟุ้งไปไกล น้ำอบไทยมีหลายตำหรับแบ่งแยกการปรุงที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับเจ้าของตำหรับที่คิดค้นว่าอยากให้กลิ่นหอมของน้ำอบไทยมีกลิ่นหอมแรงหรือหอมหวาน หลักๆแล้วน้ำอบไทยโบราณจำแนกได้เป็น 2 อย่างคือน้ำอบที่อบด้วยดอกไม้สดใช้ดอกไม้หอมที่กำลังบานแย้มมาอบน้ำที่จะปรุงน้ำอบ กับน้ำอบที่ไม่มีส่วนประกอบของดอกไม้สดเลย ซึ่งแน่นอนว่าน้ำอบตำหรับชาววังแบบโบราณนั้นต้องใช้ดอกไม้สดในการปรุงแต่ง
    อีกหนึ่งสิ่งสำคัญของพิธีรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่คือภาชนะสำหรับใส่น้ำอบ ซึ่งเป็นที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานในการใช้ขันเงินหรือที่เรียกว่าสลุงเงิน ซึ่งเป็นศิลปหัตถกรรมที่มีคุณค่าและเป็นเอกลักษณ์ของล้านนา ทำจากโลหะเงินและมีการแกะสลักลวดลายบนสลุง ใช้สำหรับใส่น้ำ ซึ่งส่วนมากได้ถูกใช้ในพิธีรดน้ำดำหัวและสรงน้ำพระ

พิธีรดน้ำดำหัว

ประเพณีรดนํ้าดําหัว เป็นประเพณีของไทยอันสืบเนื่องมาจากประเพณีวันสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ของไทยที่แสดงถึงความเคารพนอบน้อมต่อผู้ใหญ่หรือผู้ที่เคารพนับถือและผู้มีพระคุณ เพื่อแสดงความกตัญญูพร้อมกับการขอขมาและขอรับพรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองเนื่องในวันสําคัญ เช่น วันขึ้นปีใหม่หรือวันสงกรานต์ของไทยในเดือนเมษายน
“การดําหัว” ก็คือการรดนํ้านั่นเองแต่เป็นคําเมืองทางเหนือการดําหัวเรียกกันเฉพาะการรดนํ้าผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีตําแหน่งหน้าที่การงานสูง เป็นการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินไปหรือขอพรปีใหม่จากผู้ใหญ่ สิ่งที่ต้องนําไปในการรดนํ้าดําหัวก็คือ นํ้าใส่ขันเงินใบใหญ่ ในนํ้าใส่ฝักส้มป่อยโปรยเกสรดอกไม้และเจือนํ้าหอม นํ้าปรุงเล็กน้อยพร้อมด้วยพานข้าวตอกดอกไม้เป็นเครื่องสักการะอีกพานหนึ่ง การรดนํ้าดําหัวมักจะไปกันเป็นหมู่ โดยจะถือเครื่องที่จะดําหัวไปด้วย ท่านผู้ใหญ่ก็จะสรรหาคําพูดที่ดีที่เป็นมงคลและอวยพรให้กับผู้ที่มารดนํ้าดําหัว

NDMI Archives

งานประชุมกับมิวเซียมลำปาง : ประชุมหารือในร้านเอลลาฟิน

จากการประชุมปรึกษาหารือ ได้ข้อสรุปว่า ให้ทางมิวเซียมสยามดำเนินการทำหนังสือขออนุมัติพัสดุให้กับทางมิวเซียมลำปาง ฝ่ายอำนวยการให้ดำเนินการตัดรายการพัสดุของห้องคลังความรู้ออกจากบัญชีรายการพัสดุ สพร. และทางมิวเซียมลำปางให้ดำเนินการด้านการขนส่ง ค่าใช้จ่ายต่างๆ

งานประชุมกับมิวเซียมลำปาง : คณะผู้บริหารมิวเซียมลำปางดูวัสดุในห้องคลังความรู้

คณะผู้บริหารมิวเซียมลำปางและมิวเซียมสยาม ขึ้นมาดูวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่รื้อถอนแล้ว ในห้องคลังความรู้ ชั้น 2 อาคารสำนักงาน เพื่อตรวจสอบว่าสิ่งของชิ้นใดสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้

งานประชุมกับมิวเซียมลำปาง : นายกเทศมนตรีลำปางเป็นประธานในการประชุม

ดร.กิตติภูมิ นามวงค์ นายกเทศมนตรีนครลำปาง เป็นประธานในการประชุมปรึกษาหารือ โดยใช้พื้นที่ในร้านเอลลาฟิน สาขา มิวเซียมสยาม ในที่ประชุมประกอบด้วย คุณกฤชณรัตน สิริธนาโชติ หัวหน้าฝ่ายFM/IT คุณประชา สุขสบาย ฝ่ายเครือข่าย คุณปฤษฎาพร โชติธรรม ฝ่ายอำนวยการ คุณสุภาณี เลิศจิระประเสริฐ คุณมารุตพงศ์ กาแก้ว แผนกห้องคลังความรู้ และเจ้าหน้าที่ทางมิวเซียมลำปางอีก 2 ท่าน

งานประชุมกับมิวเซียมลำปาง

วันที่ 28 ตุลาคม 2559 มิวเซียมสยาม (ฝ่ายพัสดุ ฝ่ายFM/IT ฝ่ายเครือข่าย ห้องคลังความรู้) ได้ร่วมประชุมปรึกษาหารือกับคณะผู้บริหารมิวเซียมลำปาง เรื่องการขอวัสดุอุปกรณ์ในห้องคลังความรู้ (ห้องสมุด) ไปใช้ในห้องสมุดที่มิวเซียมลำปาง เช่น โต๊ะสำหรับอ่านหนังสือ จำนวน 3 ตัว ตู้หนังสือทั้งหมด โดยทางมิวเซียมลำปางเป็นผู้รับผิดชอบในการขนส่ง ค่าใช้จ่ายต่างๆ

การรื้อถอนห้องคลังความรู้ : ทุบผนังห้องคลังความรู้

ช่างได้ทำการทุบผนังปูนฝั่งริมหน้าต่างห้องคลังความรู้ เพื่อจะทำการขยายพื้นที่ห้องคลังความรู้ให้กว้างขึ้น โดยขยายพื้นที่ถึงระแนงเหล็ก

การรื้อถอนห้องคลังความรู้ : ตู้ใส่ CD และ DVD

ตู้สำหรับใส่ซีดีและดีวีดี โดยตู้หลังนี้อยู่บริเวณหลังเคาน์เตอร์ให้บริการของบรรณารักษ์ เป็นตู้สำหรับจัดเก็บภาพยนตร์ สารคดี แผ่นกิจกรรมต่างๆ ของสพร. และเป็นตู้จัดเก็บหนังสือใหม่สำหรับรอการลงทะเบียน นอกจากนี้ยังใช้สำหรับจัดเก็บอุปกรณ์สำนักงานของทางห้องคลังความรู้ ช่างได้พยายามรื้อถอนให้มีความสมบูรณ์ที่สุด เพื่อให้ตู้หลังนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้มากที่สุด

การรื้อถอนห้องคลังความรู้ : หน้าต่างห้องคลังความรู้

ฝั่งหน้าต่างห้องคลังความรู้จะมีตู้หนังสือชั้นเตี้ย สำหรับจัดวางหนังสือภาษาอังกฤษ หนังสือขนาดใหญ่พิเศษ หนังสือเด็กและเยาวชน โดยช่างได้ทำการรื้อถอนตู้หนังสือออกทั้งหมด เพื่อทำการทุบผนังสำหรับขยายพื้นที่ห้องคลังความรู้ให้มากขึ้น

การรื้อถอนห้องคลังความรู้ : ตู้หนังสือริมหน้าต่าง

ตู้หนังสือริมหน้าต่าง ช่างผู้รับเหมาได้ทำการรื้อถอนให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มากที่สุด สามารถนำไปบริจาคให้กับหน่วยงานที่ต้องการได้ ตู้หนังสือริมหน้าต่างเป็นตู้หนังสือเตี้ยขนาด 2 ชั้น

การรื้อถอนห้องคลังความรู้ : รื้อถอนตู้หนังสือให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด

ช่างได้ทำการรื้อถอนตูู้หนังสือห้องคลังความรู้ออกทั้งหมด ทั้งนี้ทางบรรณารักษ์ได้แจ้งให้ผู้รับเหมาค่อยๆ ทำการรื้อถอน เพื่อไม่ให้ตู้หนังสือชำรุดหรือเสียหาย ตู้หนังสือจะได้นำไปบริจาคให้หน่วยงานอื่นๆ ต่อไป

Results 3441 to 3460 of 3812